- 24 กรกฎาคม 2022
- ความรู้ประกันภัย, ประกันภัยรถยนต์
- 2742 Views
ขายประกันภัยรายได้ดี.com
เช็คเบี้ยประกันรถยนต์ ออนไลน์ เปรียบเทียบเบี้ยประกัน ใช้เอกสารอะไรบ้าง? ต้องทำอย่างไร?
ก่อนที่จะ เช็คเบี้ยประกันรถยนต์ เราต้องมีความเข้าใจเรื่องของการประกันภัยกันก่อนนะครับประกันภัยเรามี 2แบบ คือ การประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และ การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ซึ่งแบบประกันกันทั้งสองแบบนี้มีความจำเป็นต่อเจ้าของรถ ผู้ใช้รถ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถเป็นอย่างมาก เพราะการจัดให้มีประกันภัยเป็นการคุ้มครองความเสี่ยงภัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และแน่นนอนหากเราจัดให้มีแล้วนั่นก็หมายความว่า บริษัทประกันจะเป็น เข้ามามีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแทนเรานั่นเอง
สารบัญ
ใน การเช็คเบี้ยประกันภัย ต้องทราบและเข้าใจเรื่องใด?
สิ่งที่ท่านต้องทราบในการทำประกัยภัยรถยนต์ก่อนทำการเชคเบี้ยประกันก็คือ แบบของการประกันภัย ซึ่งเราจำแนกออกเป็นมี 2 แบบ ดังต่อไปนี้
- การประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) กฎหมายบังคับให้รถยนต์ทุกคันต้องทำพ.ร.บ.
- การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ
คือ การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อ (ผู้เอาประกันภัย) และผู้ขาย (บริษัทประกันภัย) โดยเป็นการเลือกซื้อความคุ้มครองประกันภัยตามความพึงพอใจของผู้ซื้อ ซึ่งผู้ซื้อทำด้วยความสมัครใจ ไม่ได้ถูกบังคับโดยกฎหมาย

มาดูความหมายของ ประกันภัยที่เราจะทำ การเช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์ กันก่อน นะครับ
1.ความหมายของประกันรถยนต์ภาคบังคับหรือ พ.ร.บ. คือ
- การประกันภัยรถภาคบังคับ หรือที่รู้จักกันว่า “พ.ร.บ.” เป็นการประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2536 โดยกำหนดให้รถยนต์รวมถึงรถจักรยานยนต์ทุกคัน ทุกชนิดที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก และรถที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังเครื่องยนต์ ไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น ต้องทำประกันภัยภาคบังคับตาม พรบ. นี้ เพื่อให้ความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร บุคคลภายนอก หรือคนเดินถนน กรณีเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ โดยจำนวนเงินคุ้มครองสูงสุดต่อคนของประกันภัยภาคบังคับ (พรบ.) นั้นมีจำกัด ดังนั้น เจ้าของรถยนต์จึงควรซื้อประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ เพื่อที่จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มเติมสูงสุด
- ผู้มีหน้าที่ต้องทำประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.) ได้แก่ เจ้าของรถ ผู้ครอบครองรถในฐานะผู้เช่าซื้อรถ และเจ้าของรถที่นำรถที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศ การฝ่าฝืนไม่ทำประกันภัยภาคบังคับ (พรบ.) จะได้รับโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และสำหรับผุ้ที่นำรถที่ไม่ทำประกันภัยภาคบังคับ (พรบ.) ไปใช้งาน จะได้รับโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท เช่นกัน
รายละเอียดความคุ้มครอง
- ค่ารักษาพยาบาลตามจริงกรณีบาดเจ็บ คุ้มครองสูงสุด 80,000 บ. ต่อคน
- ค่าทดแทนกรณีสูญเสียอวัยวะ* คุ้มครอง 200,000 – 500,000 บ.
- ค่าทดแทนกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร คุ้มครอง 500,000 บ. ต่อคน
- ค่าชดเชยรายวันกรณีนอนโรงพยาบาล 200 บ. ต่อวัน (สูงสุดรวมไม่เกิน 20 วัน)
การที่รัฐออกกฎหมายกำหนดให้รถทุกคัน ต้องทำประกันภัยภาคบังคับ (พรบ.) มีวัตถุประสงค์ ดังนี้
- เพื่อคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเพราะเหตุประสบภัยจากรถโดยให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงทีในกรณีที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิต
- เป็นหลักประกันให้โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาล ในการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากรถ
- เป็นสวัสดิการสงเคราะห์ที่รัฐมอบให้แก่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายเพราะเหตุประสบภัยจากรถ
- ส่งเสริมและสนับสนุนให้การประกันภัยเข้ามามีส่วนร่วมในการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยและครอบครัว
- การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ
- การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (Voluntary Motor Insurance) คืออะไร?
การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อ (ผู้เอาประกันภัย) และผู้ขาย (บริษัทประกันภัย) โดยเป็นการเลือกซื้อความคุ้มครองประกันภัยตามความพึงพอใจของผู้ซื้อ ซึ่งผู้ซื้อทำด้วยความสมัครใจ ไม่ได้ถูกบังคับโดยกฎหมาย
- ประเภทความคุ้มครองของ ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ มีอะไรบ้าง?
- ความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก (Third Party Bodily Injury: TPBI) ให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของบุคคลภายนอก และความรับผิดต่อการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของผู้โดยสารในรถคันเอาประกันภัย โดยมีจํานวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัยจํานวน 100,000 บาทต่อคน และ 10,000 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้จํานวนเงินจํากัดความรับผิดนี้ถือเป็นส่วนเกินจากความคุ้มครองตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
- ความคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก (Third Party Property Damage: TPPD) ให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อความเสียหายใดๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินของบุคคลภายนอก โดยมีจํานวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัยจํานวน 200,000 บาทต่อครั้ง
- ความคุ้มครองความรับผิดต่อความเสียหายของตัวรถยนต์ (Own Damage: OD) ให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างเวลาประกันภัยต่อรถยนต์ รวมถึงอุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง และส่วนควบที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์ แต่ไม่รวมความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ โดยมีจํานวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัยจํานวน 50,000 บาท (รถจักรยานยนต์ 5,000 บาท) ทั้งนี้การรับประกันภัยตัวรถยนต์ไม่ควรรับประกันภัยในจํานวนเงินจํากัดความรับผิดต่ำกว่า 80% ของราคารถยนต์ในวันเริ่มการประกันภัย เว้นแต้รถยนต์ที่ไม่มีการเสียภาษีขาเข้า
- ความคุ้มครองความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์ (Fire and Theft: F&T) ให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของรถยนต์ รวมทั้งอุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง และส่วนควบที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์ ที่ถูกไฟไหม้ หรือสูญหายไป
“ไฟไหม้ในที่นี้ หมายถึง ความเสียหายต่อรถยนต์ที่เป็นผลมาจากไฟไหม้ ไม่ว่าจะเป็นการไหม้โดยตัวของมันเองหรือเป็นการไหม้ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากสาเหตุอื่น”
“การสูญหายในที่นี้ รวมถึงความเสียหายต่อรถยนต์ รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจําอยู่กับตัวรถยนต์ ที่เป็นผลมาจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ หรือเป็นผลมาจากการพยายามกระทำดังกล่าวนั้น”
- ความคุ้มครองเพิ่มเติม แบ่งออกเป็น 3 ความคุ้มครองหลักๆ ดังนี้
- – การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ต่อความสูญเสียอันเกิดจากความบาดเจ็บของผู้ขับขี่และ/หรือผู้โดยสาร ซึ่งอยู่ในรถหรือกำลังขับขี่ หรือกำลังขึ้น หรือกำลังลงจากรถยนต์ โดยอุบัติเหตุ
- การประกันภัยค่ารักษาพยาบาลบริษัทจะชดใช้ค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าผ่าตัด และค่าบริการอื่นๆ ตามที่จ่ายจริง ซึ่งเกิดขึ้นภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันเกิดอุบัติเหตุ เพื่อผู้ขับขี่และ/หรือผู้โดยสารในรถคันเอาประกันภัย ซึ่งได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย เนื่องจากอุบัติเหตุในขณะอยู่ในรถ หรือกำลังขึ้น หรือกำลังลงจากรถยนต์ แต่ทั้งนี้ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย
- – การประกันตัวผู้ขับขี่ บริษัทจะประกันตัวผู้เอาประกันภัย หรือบุคคลใดซึ่งขับรถยนต์ โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย ในกรณีรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้เกิดอุบัติเหตุ เป็นเหตุให้บุคคลดังกล่าวถูกควบคุมตัวในคดีอาญา

ประเภทกรมธรรม์ประกันภัย ที่ต้องทราบใน การเช็คเบี้ยประกันภัยรถยนต์ มีดังนี้
1.การประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 มีความคุ้มครองหลักครบทั้ง 4 ประเภท ดังนี้
- คุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารในรถยนต์คันเอาประกันภัย
- คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
- คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์
- คุ้มครองการสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์
2.การประกันภัยรถยนต์ประเภท 2 มีความคุ้มครองหลัก ดังนี้
- คุ้มองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารในรถยนต์คันเอาประกันภัย
- คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
- คุ้มครองการสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์
3.กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 ประมีความคุ้มครองการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก เท่านั้น ดังนี้
- คุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารในรถยนต์คันเอาประกันภัย
- คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
4.กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 4 ให้ความคุ้มครองต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น โดยคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก 100,000 บาทต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง
5.กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 5 แบ่งเป็น 2 แบบ ดังนี้
5.1แบบประกัน 2 พลัส (2+) ให้ความคุ้มครองรับผิดชอบต่อความเสียหายแบบประกันภัยชั้น 2 แต่เพิ่มความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น และต้องมีคู่กรณี โดยให้ความคุ้มครอง ดังนี้
- คุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
- คุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
- คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะทางบก
- คุ้มครองการสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
5.2แบบประกัน 3 พลัส (3+) ให้ความคุ้มครองรับผิดชอบต่อความเสียหายแบบประกันภัยชั้น 3 แต่เพิ่มความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น และต้องมีคู่กรณี โดยให้ความคุ้มครอง ดังนี้
- คุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก และผู้โดยสารในรถ
- คุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
- คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะทางบกของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 5 ทั้งประกัน 2 พลัส (2+) และประกัน 3 พลัส (3+) คือ
- ชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น
- ต้องมีคู่กรณี ถ้าชนแล้วหนี หาพยานหลักฐานไม่ได้ จะไม่ได้รับความคุ้มครอง
มาต่อด้วย การเช็คเบี้ยประกันรถยนต์ ท่านต้องดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้เลยครับ
ก่อนอื่นเราต้องเตรียมเอกสารให้ครบก่อนที่จะแจ้งบริษัทประกัน
- สำเนาบัตรประชาชน (ใช้ในกรณีที่เช็คเบี้ยของบริษัทเดิมเพื่อรับส่วนลดประวัติดีในกรณีที่ไม่มีการเคลม และเป็นผู้เอาประกันภัยในกรณีที่ชื่อผู้ครอบครองรถเป็นบุคคลอื่น)
- สำเนาใบขับขี่ (ใช้ในกรณีที่เป็นรถจักรยานยนต์)
- สำเนากรมธรรม์ประกันรถยนต์ปัจจุบัน หรือใบเตือนต่ออายุ (ถ้าเรามีเอกสารใบเตือนการต่อประกันรถยนต์อ้างอิง จะทำให้เราประหยัดค่าเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น)
- สำเนาหนังสือจดทะเบียนรถยนต์ (หรือรายละเอียดของตัวรถเบื้องต้น เช่น ยี่ห้อ รุ่น ปี ซีซี น้ำหนัก ของรถที่ต้องการทำประกันภัย)
- การติดตั้งอุปกรณ์เสริมพิเศษพร้อมราคา เช่น ระบบช่วงล่าง เสริมแหนบ เสริมเพลา ล้อแมก ยาง ระบบภายนอก คอก โครงหลังคากระบะท้าย ระบบภายใน กล้อง CCTV หน้า-หลัง เครื่องเสียง เกจหรือมาตรวัดวัดต่างๆ ระบบเชื้อเพลิง เช่น ติดตั้งระบบแก๊ส LPG CNG หรือเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า EV
เมื่อ เช็คเบี้ยประกันรถยนต์ และได้เบี้ยประกันมาแล้ว เรามาดูความเหมาะสมกันระหว่าง รถยนต์ที่ทำประกัน กับทุนคุ้มครองรถของเรา ว่ามีความสมเหตุสมผล หรือไม่ มาดูกันเลยครับ
- หลายคนคงเคยมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทุนประกันภัยรถยนต์ เช่นว่า ทำไมถึงได้ทุนแค่นี้ ทำไมได้ทุนต่ำจัง เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วจะได้คุ้มกับค่าเสียหายรึเปล่า?
“ก่อนที่จะตอบคำถามของหัวข้อนี้เรามาทำความรู้จัก และรู้หลักการคิดทุนประกันภัยของบริษัทประกันภัยกันก่อนดีกว่า ซึ่งคนที่เคยทำประกันภัยรถยนต์คงรู้แล้วว่า ทุนประกันภัย คือ ค่าสินไหมที่บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายให้กับ ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ในกรณีที่ทรัพย์สินนั้นได้รับความเสียหายโดยสิ้นเชิง หรือเกิน 70% ของความเสียหาย”
- แล้วบริษัทประกันภัยมีหลักเกณฑ์อะไรในการคิดทุนประกันภัย?
โดยหลักส่วนใหญ่แล้ว การคิดทุนประกันภัยจะคำนวณจากราคากลางในตลาด หรือราคาซื้อสำหรับรถมือใหม่ป้ายแดง เป็นต้น โดยจะมีการหักค่าเสื่อมการใช้งานไว้อย่างน้อย 10% เป็นต้น ทำให้ ทุนประกันภัยจะอยู่ประมาณ 90% ของราคาขายในตลาดกลาง แต่สำหรับรถป้ายแดงจะได้ทุนประกันภัยเริ่มต้นที่ 80% จากราคาที่ซื้อมา เนื่องจากเมื่อทำการดาวน์รถมา 1 คัน โดยส่วนมากแล้ว เงินดาวน์ จะอยู่ที่ 20% ของราคาเต็ม ด้วยเหตุนี้ทำให้การทำประกันภัยรถยนต์ จะมีทุนประกันภัยอยู่ที่ 80% เท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้ว จำนวนเงินชดเชยจะเกินจากราคาขายเต็มจำนวน แต่ถ้าหากว่าได้ทำการซื้อรถด้วยเงินสดเต็มจำนวน ไม่มีการผ่อนชำระ ก็จะสามารถทำทุนประกันภัยได้สูงสุดที่ 90% ของราคาขายนั้นเอง จากนั้นในปีถัดไปของการทำประกันภัย ทุนประกันภัยจะอยู่ที่ 90% ของทุนประกันภัยในปีที่แล้ว หรืออาจจะเป็น 90% ของราคาตลาดกลางในขณะนั้น ได้ทั้ง 2 กรณี ขึ้นอยู่กับสาเหตุใด เช่น บางคนอาจจะจำทุนประกันภัยปีที่แล้วไม่ได้ หรือไม่ทราบ หรือราคารถตกอย่างรวดเร็วทำให้ไม่สามารถใช้ราคาทุนของปีที่แล้วเป็นที่ตั้งได้
-หากทำประกันภัยรถยนต์ด้วยทุนประกันภัยที่สูงกว่ามูลค่า หรือที่เรียกว่า Over Insured ซึ่งทำให้เสียเบี้ยประกันภัยสูงเกินความจำเป็น เพราะในหลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จะชดเชยให้เท่ากับค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น โดยการชดเชยจะยึดตามราคาขายจริง หรือมูลค่ากลางในตลาดปัจจุบันนั้นเอง แต่เนื่องจากธุรกิจประกันภัยที่มีการแข่งขันกันสูง ทำให้หลายบริษัทจัดโปรโมชั่นค่าเบี้ยประกันภัยถูกๆมาจูงใจลูกค้ากันอย่างเมามัน ซึ่งทำให้บางบริษัทมีข้อเสนอให้คุณทำทุนประกันภัยที่สูงขึ้นได้ โดยเสียค่าเบี้ยประกันเท่ากับบริษัทประกันอื่นๆได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นควรศึกษา และพิจารณาความคุ้มครอง และรายละเอียดในกรมธรรม์ให้ดีก่อนตัดสินใจในการทำประกันภัยทุกครั้ง
สรุป
จากข้อมูลที่เรานำมาเป็นแนวทางในการเช็คเบี้ยประกันรถยนต์ ก็คงพอจะให้ท่านได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับปรักันรถยนต์มากขึ้นบ้างแล้ว และคงมีหลายท่านมองเห็นความสำคัญของการทำประกันรถยนต์ขึ้นมา มากทีเดียว
คำถามที่พบบ่อย : FAQ
คลิกที่ลิงค์เช็คเบี้ยด้วยตนเอง เช็คเบื้องต้นก่อน หากสงสัยสอบถามที่เว็บ ขายประกันรายได้ดีดอทคอมได้เลยครับ
สามารถซื้อได้ด้วยตนเองตามลิงค์ได้เลยครับ
ได้เลยครับ ยินดีครับ